วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

รวมความน่ารักของเจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์

รวมความน่ารักของเจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์






















วิธีการเลี้ยงดูแลลุกสุนัข Beagle

วิธีการเลี้ยงดูแลลุกสุนัข Beagle



สิ่งที่เจ้าของ BEAGLE ต้องทำใจรับรู้ไว้ก่อนว่า สุนัขพันธุ์นี้พร้อมที่จะวิ่งหนีจากท่านได้ตลอดเวลา แต่ก็มีวิธีการป้องกันได้ เช่นในการพาสุนัขไปเดินเล่นควรใช้สายจูงตลอดเวลา หรือทำการฝึกตั้งแต่ได้รับสุนัขมา ขั้นตอนการฝึกก็คือ เราควรพาสุนัขออกไปเดินเล่นบ่อยๆในที่ๆมีรั้วรอบขอบช ิด ปล่อยสายจูงยืนอยู่กับที่ เมื่อสุนัขวิ่งออกห่างจากตัวมากเกินไปให้เรียกชื่อสุ นัข เมื่อสุนัขวิ่งกลับมาหาเรา เราก็ให้รางวัลสุนัขโดยการให้ขนม(คุกกี้ ไส้กรอก อาหารเม็ด) รวมถึงใช้เสียงชมเชย
แต่ถ้าสุนัขไม่กลับมา ห้ามวิ่งตาม และส่งเสียงเอะอะโวยวายโดยเด็ดขาด ให้ค่อยๆย่องเข้าไปจับตัวสุนัขแล้วส่งเสียงดุให้สุนั ขกลัวและรู้สึกผิด ทดลองซ้ำๆกันหลายๆครั้งทุกๆวันจนกว่าสุนัขจะทำตาม

โดยปกติแล้วสุนัข BEAGLE เป็นสุนัขที่ตอนเล็กๆจะซนพอสมควร แต่จะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆเมื่ออายุมากขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ควรปล่อยสุนัขอยู่คนเดียวเพราะอาจจะกั ดข้าวของเสียหาย หรือไปกัดหรือกินสิ่งของที่มีอันตรายเช่นสายไฟฟ้าเป็ นต้น วิธีแก้ไขคือจับสุนัขขังไว้ในห้องแคบๆที่ปลอดภัย หรือใช้กรงช่วยในการฝึกจะดีที่สุด แต่มีข้อแม้ว่าต้องปล่อยสุนัขออกมาเดินเล่นทุกๆ 2-3 ชั่วโมงและมีน้ำดื่มสะอาดไว้ในกรงตลอดเวลา


การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับสุนัข BEAGLEสุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่มีพลังงานมาก การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับสุนัขพันธุ์นี ้ ฉะนั้นสุนัขพันธุ์นี้จะรู้สึกหิวตลอดเวลา อาหารจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก และการให้อาหารให้สัมพันธ์กับจำนวนมื้อเป็นสิ่งสำคัญ ต้องซอยมื้ออาหารออกมาเป็นหลายๆเวลา ทุกๆ 4-6 ชั่วโมงแต่ละมื้อต้องมีจำนวนพอดีๆ วิธีนี้จะป้องกันไม่ให้สุนัขของท่านเป็นสุนัขตะกละ และเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ


การดูแลเรื่องขนและความสะอาดสุนัข โดยปกติแล้วการทำความสะอาดขนสุนัขพันธุ์นี้เป็นเรื่อ งที่ง่ายมากเนื่องจากมีขนสั้นสีขนเข้ม และรักสะอาด แต่การดูแลก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่เช่นกัน เราควรจะทำการแปรงขนสุนัขทุกๆ 3-4 วันเพื่อดึงขนที่ตายแล้วออก ขนเส้นใหม่จะได้ขึ้นมาแทนที่ ทั้งนี้จะช่วยลดการร่วงหล่นของขนภายในบ้านได้ด้วย อุปกรณ์ที่ใช้ก็มี แปรงขนหมู (ลักษณะเป็นเส้นขนสีดำ หาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงทั่วไป) แปรงลวดเส้นห่าง ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก น้ำสะอาด และน้ำยาดับกลิ่น(เดตตอล)


การอาบน้ำจะอาบก็ต่อเมื่อสุนัขสกปรกจริงๆ หรือทุกๆ 2-3อาทิตย์ วิธีการอาบก็ง่ายๆ โดยใช้แชมพูสำหรับสุนัขทั่วๆไป หรืออาจจะใช้แชมพูผสมยากำจัดเห็บหมัดก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องล้างแชมพูออกให้หมด และเช็ดตัวให้แห้งจริงๆทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคผิวหน ังที่เกิดจากเชื้อรา
สิ่งที่เจ้าของ BEAGLE ต้องทำใจรับรู้ไว้ก่อนว่า สุนัขพันธุ์นี้พร้อมที่จะวิ่งหนีจากท่านได้ตลอดเวลา แต่ก็มีวิธีการป้องกันได้ เช่นในการพาสุนัขไปเดินเล่นควรใช้สายจูงตลอดเวลา หรือทำการฝึกตั้งแต่ได้รับสุนัขมา ขั้นตอนการฝึกก็คือ เราควรพาสุนัขออกไปเดินเล่นบ่อยๆในที่ๆมีรั้วรอบขอบช ิด ปล่อยสายจูงยืนอยู่กับที่ เมื่อสุนัขวิ่งออกห่างจากตัวมากเกินไปให้เรียกชื่อสุ นัข เมื่อสุนัขวิ่งกลับมาหาเรา เราก็ให้รางวัลสุนัขโดยการให้ขนม(คุกกี้ ไส้กรอก อาหารเม็ด) รวมถึงใช้เสียงชมเชย
แต่ถ้าสุนัขไม่กลับมา ห้ามวิ่งตาม และส่งเสียงเอะอะโวยวายโดยเด็ดขาด ให้ค่อยๆย่องเข้าไปจับตัวสุนัขแล้วส่งเสียงดุให้สุนั ขกลัวและรู้สึกผิด ทดลองซ้ำๆกันหลายๆครั้งทุกๆวันจนกว่าสุนัขจะทำตาม
โดยปกติแล้วสุนัข BEAGLE เป็นสุนัขที่ตอนเล็กๆจะซนพอสมควร แต่จะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆเมื่ออายุมากขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ควรปล่อยสุนัขอยู่คนเดียวเพราะอาจจะกั ดข้าวของเสียหาย หรือไปกัดหรือกินสิ่งของที่มีอันตรายเช่นสายไฟฟ้าเป็ นต้น วิธีแก้ไขคือจับสุนัขขังไว้ในห้องแคบๆที่ปลอดภัย หรือใช้กรงช่วยในการฝึกจะดีที่สุด แต่มีข้อแม้ว่าต้องปล่อยสุนัขออกมาเดินเล่นทุกๆ 2-3 ชั่วโมงและมีน้ำดื่มสะอาดไว้ในกรงตลอดเวลา


การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับสุนัข BEAGLEสุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่มีพลังงานมาก การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับสุนัขพันธุ์นี ้ ฉะนั้นสุนัขพันธุ์นี้จะรู้สึกหิวตลอดเวลา อาหารจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก และการให้อาหารให้สัมพันธ์กับจำนวนมื้อเป็นสิ่งสำคัญ ต้องซอยมื้ออาหารออกมาเป็นหลายๆเวลา ทุกๆ 4-6 ชั่วโมงแต่ละมื้อต้องมีจำนวนพอดีๆ วิธีนี้จะป้องกันไม่ให้สุนัขของท่านเป็นสุนัขตะกละ และเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ


การดูแลเรื่องขนและความสะอาดสุนัข โดยปกติแล้วการทำความสะอาดขนสุนัขพันธุ์นี้เป็นเรื่อ งที่ง่ายมากเนื่องจากมีขนสั้นสีขนเข้ม และรักสะอาด แต่การดูแลก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่เช่นกัน เราควรจะทำการแปรงขนสุนัขทุกๆ 3-4 วันเพื่อดึงขนที่ตายแล้วออก ขนเส้นใหม่จะได้ขึ้นมาแทนที่ ทั้งนี้จะช่วยลดการร่วงหล่นของขนภายในบ้านได้ด้วย อุปกรณ์ที่ใช้ก็มี แปรงขนหมู (ลักษณะเป็นเส้นขนสีดำ หาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงทั่วไป) แปรงลวดเส้นห่าง ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก น้ำสะอาด และน้ำยาดับกลิ่น(เดตตอล)


การอาบน้ำจะอาบก็ต่อเมื่อสุนัขสกปรกจริงๆ หรือทุกๆ 2-3อาทิตย์ วิธีการอาบก็ง่ายๆ โดยใช้แชมพูสำหรับสุนัขทั่วๆไป หรืออาจจะใช้แชมพูผสมยากำจัดเห็บหมัดก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องล้างแชมพูออกให้หมด และเช็ดตัวให้แห้งจริงๆทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคผิวหน ังที่เกิดจากเชื้อรา
โดยปกติแล้วสุนัข BEAGLE เป็นสุนัขที่ตอนเล็กๆจะซนพอสมควร แต่จะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆเมื่ออายุมากขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ควรปล่อยสุนัขอยู่คนเดียวเพราะอาจจะกั ดข้าวของเสียหาย หรือไปกัดหรือกินสิ่งของที่มีอันตรายเช่นสายไฟฟ้าเป็ นต้น วิธีแก้ไขคือจับสุนัขขังไว้ในห้องแคบๆที่ปลอดภัย หรือใช้กรงช่วยในการฝึกจะดีที่สุด แต่มีข้อแม้ว่าต้องปล่อยสุนัขออกมาเดินเล่นทุกๆ 2-3 ชั่วโมงและมีน้ำดื่มสะอาดไว้ในกรงตลอดเวลา

การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับสุนัข BEAGLEสุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่มีพลังงานมาก การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับสุนัขพันธุ์นี ้ ฉะนั้นสุนัขพันธุ์นี้จะรู้สึกหิวตลอดเวลา อาหารจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก และการให้อาหารให้สัมพันธ์กับจำนวนมื้อเป็นสิ่งสำคัญ ต้องซอยมื้ออาหารออกมาเป็นหลายๆเวลา ทุกๆ 4-6 ชั่วโมงแต่ละมื้อต้องมีจำนวนพอดีๆ วิธีนี้จะป้องกันไม่ให้สุนัขของท่านเป็นสุนัขตะกละ และเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ


การดูแลเรื่องขนและความสะอาดสุนัข โดยปกติแล้วการทำความสะอาดขนสุนัขพันธุ์นี้เป็นเรื่อ งที่ง่ายมากเนื่องจากมีขนสั้นสีขนเข้ม และรักสะอาด แต่การดูแลก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่เช่นกัน เราควรจะทำการแปรงขนสุนัขทุกๆ 3-4 วันเพื่อดึงขนที่ตายแล้วออก ขนเส้นใหม่จะได้ขึ้นมาแทนที่ ทั้งนี้จะช่วยลดการร่วงหล่นของขนภายในบ้านได้ด้วย อุปกรณ์ที่ใช้ก็มี แปรงขนหมู (ลักษณะเป็นเส้นขนสีดำ หาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงทั่วไป) แปรงลวดเส้นห่าง ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก น้ำสะอาด และน้ำยาดับกลิ่น(เดตตอล)


การอาบน้ำจะอาบก็ต่อเมื่อสุนัขสกปรกจริงๆ หรือทุกๆ 2-3อาทิตย์ วิธีการอาบก็ง่ายๆ โดยใช้แชมพูสำหรับสุนัขทั่วๆไป หรืออาจจะใช้แชมพูผสมยากำจัดเห็บหมัดก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องล้างแชมพูออกให้หมด และเช็ดตัวให้แห้งจริงๆทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคผิวหน ังที่เกิดจากเชื้อรา

การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับสุนัข BEAGLEสุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่มีพลังงานมาก การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับสุนัขพันธุ์นี ้ ฉะนั้นสุนัขพันธุ์นี้จะรู้สึกหิวตลอดเวลา อาหารจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก และการให้อาหารให้สัมพันธ์กับจำนวนมื้อเป็นสิ่งสำคัญ ต้องซอยมื้ออาหารออกมาเป็นหลายๆเวลา ทุกๆ 4-6 ชั่วโมงแต่ละมื้อต้องมีจำนวนพอดีๆ วิธีนี้จะป้องกันไม่ให้สุนัขของท่านเป็นสุนัขตะกละ และเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ


การดูแลเรื่องขนและความสะอาดสุนัข โดยปกติแล้วการทำความสะอาดขนสุนัขพันธุ์นี้เป็นเรื่อ งที่ง่ายมากเนื่องจากมีขนสั้นสีขนเข้ม และรักสะอาด แต่การดูแลก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่เช่นกัน เราควรจะทำการแปรงขนสุนัขทุกๆ 3-4 วันเพื่อดึงขนที่ตายแล้วออก ขนเส้นใหม่จะได้ขึ้นมาแทนที่ ทั้งนี้จะช่วยลดการร่วงหล่นของขนภายในบ้านได้ด้วย อุปกรณ์ที่ใช้ก็มี แปรงขนหมู (ลักษณะเป็นเส้นขนสีดำ หาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงทั่วไป) แปรงลวดเส้นห่าง ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก น้ำสะอาด และน้ำยาดับกลิ่น(เดตตอล)


การอาบน้ำจะอาบก็ต่อเมื่อสุนัขสกปรกจริงๆ หรือทุกๆ 2-3อาทิตย์ วิธีการอาบก็ง่ายๆ โดยใช้แชมพูสำหรับสุนัขทั่วๆไป หรืออาจจะใช้แชมพูผสมยากำจัดเห็บหมัดก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องล้างแชมพูออกให้หมด และเช็ดตัวให้แห้งจริงๆทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคผิวหน ังที่เกิดจากเชื้อรา

การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับสุนัข BEAGLEสุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่มีพลังงานมาก การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับสุนัขพันธุ์นี ้ ฉะนั้นสุนัขพันธุ์นี้จะรู้สึกหิวตลอดเวลา อาหารจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก และการให้อาหารให้สัมพันธ์กับจำนวนมื้อเป็นสิ่งสำคัญ ต้องซอยมื้ออาหารออกมาเป็นหลายๆเวลา ทุกๆ 4-6 ชั่วโมงแต่ละมื้อต้องมีจำนวนพอดีๆ วิธีนี้จะป้องกันไม่ให้สุนัขของท่านเป็นสุนัขตะกละ และเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ

การดูแลเรื่องขนและความสะอาดสุนัข โดยปกติแล้วการทำความสะอาดขนสุนัขพันธุ์นี้เป็นเรื่อ งที่ง่ายมากเนื่องจากมีขนสั้นสีขนเข้ม และรักสะอาด แต่การดูแลก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่เช่นกัน เราควรจะทำการแปรงขนสุนัขทุกๆ 3-4 วันเพื่อดึงขนที่ตายแล้วออก ขนเส้นใหม่จะได้ขึ้นมาแทนที่ ทั้งนี้จะช่วยลดการร่วงหล่นของขนภายในบ้านได้ด้วย อุปกรณ์ที่ใช้ก็มี แปรงขนหมู (ลักษณะเป็นเส้นขนสีดำ หาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงทั่วไป) แปรงลวดเส้นห่าง ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก น้ำสะอาด และน้ำยาดับกลิ่น(เดตตอล)


การอาบน้ำจะอาบก็ต่อเมื่อสุนัขสกปรกจริงๆ หรือทุกๆ 2-3อาทิตย์ วิธีการอาบก็ง่ายๆ โดยใช้แชมพูสำหรับสุนัขทั่วๆไป หรืออาจจะใช้แชมพูผสมยากำจัดเห็บหมัดก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องล้างแชมพูออกให้หมด และเช็ดตัวให้แห้งจริงๆทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคผิวหน ังที่เกิดจากเชื้อรา

การดูแลเรื่องขนและความสะอาดสุนัข โดยปกติแล้วการทำความสะอาดขนสุนัขพันธุ์นี้เป็นเรื่อ งที่ง่ายมากเนื่องจากมีขนสั้นสีขนเข้ม และรักสะอาด แต่การดูแลก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่เช่นกัน เราควรจะทำการแปรงขนสุนัขทุกๆ 3-4 วันเพื่อดึงขนที่ตายแล้วออก ขนเส้นใหม่จะได้ขึ้นมาแทนที่ ทั้งนี้จะช่วยลดการร่วงหล่นของขนภายในบ้านได้ด้วย อุปกรณ์ที่ใช้ก็มี แปรงขนหมู (ลักษณะเป็นเส้นขนสีดำ หาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงทั่วไป) แปรงลวดเส้นห่าง ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก น้ำสะอาด และน้ำยาดับกลิ่น(เดตตอล)


การอาบน้ำจะอาบก็ต่อเมื่อสุนัขสกปรกจริงๆ หรือทุกๆ 2-3อาทิตย์ วิธีการอาบก็ง่ายๆ โดยใช้แชมพูสำหรับสุนัขทั่วๆไป หรืออาจจะใช้แชมพูผสมยากำจัดเห็บหมัดก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องล้างแชมพูออกให้หมด และเช็ดตัวให้แห้งจริงๆทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคผิวหน ังที่เกิดจากเชื้อรา

การดูแลเรื่องขนและความสะอาดสุนัข โดยปกติแล้วการทำความสะอาดขนสุนัขพันธุ์นี้เป็นเรื่อ งที่ง่ายมากเนื่องจากมีขนสั้นสีขนเข้ม และรักสะอาด แต่การดูแลก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่เช่นกัน เราควรจะทำการแปรงขนสุนัขทุกๆ 3-4 วันเพื่อดึงขนที่ตายแล้วออก ขนเส้นใหม่จะได้ขึ้นมาแทนที่ ทั้งนี้จะช่วยลดการร่วงหล่นของขนภายในบ้านได้ด้วย อุปกรณ์ที่ใช้ก็มี แปรงขนหมู (ลักษณะเป็นเส้นขนสีดำ หาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงทั่วไป) แปรงลวดเส้นห่าง ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก น้ำสะอาด และน้ำยาดับกลิ่น(เดตตอล)

การอาบน้ำจะอาบก็ต่อเมื่อสุนัขสกปรกจริงๆ หรือทุกๆ 2-3อาทิตย์ วิธีการอาบก็ง่ายๆ โดยใช้แชมพูสำหรับสุนัขทั่วๆไป หรืออาจจะใช้แชมพูผสมยากำจัดเห็บหมัดก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องล้างแชมพูออกให้หมด และเช็ดตัวให้แห้งจริงๆทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคผิวหน ังที่เกิดจากเชื้อรา

การอาบน้ำจะอาบก็ต่อเมื่อสุนัขสกปรกจริงๆ หรือทุกๆ 2-3อาทิตย์ วิธีการอาบก็ง่ายๆ โดยใช้แชมพูสำหรับสุนัขทั่วๆไป หรืออาจจะใช้แชมพูผสมยากำจัดเห็บหมัดก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องล้างแชมพูออกให้หมด และเช็ดตัวให้แห้งจริงๆทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคผิวหน ังที่เกิดจากเชื้อรา

การอาบน้ำจะอาบก็ต่อเมื่อสุนัขสกปรกจริงๆ หรือทุกๆ 2-3อาทิตย์ วิธีการอาบก็ง่ายๆ โดยใช้แชมพูสำหรับสุนัขทั่วๆไป หรืออาจจะใช้แชมพูผสมยากำจัดเห็บหมัดก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องล้างแชมพูออกให้หมด และเช็ดตัวให้แห้งจริงๆทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคผิวหน ังที่เกิดจากเชื้อรา

ก่อนอื่นเราต้องมารู้จักธรรมชาติของสุนัข BEAGLE ก่อนว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร เดิมที่เดียวสุนัขพันธุ์นี้ถูกเพาะเลี้ยงมาให้ช่วยมน ุษย์ล่ากระต่ายป่า และสัตว์เล็กชนิดอื่นๆ เพื่อความสนุกในเกมส์กีฬา โดยจะมีหน้าที่หลักในการใช้จมูกดมกลิ่น แล้ววิ่งเป็นฝูงๆละ 20-50 ตัวนำเจ้าของเข้าป่าเมื่อเจอสัตว์ที่ต้องการจะล่าพวก มันก็จะรวมฝูงกันเห่าให้สัตว์ตัวดังกล่าวตกใจกลัวอยู ่กับที่จนกว่าเจ้าของจะตามมาทัน

10 สายพันธุ์สุนัขที่ฉลาดที่สุดในโลก

10 สายพันธุ์สุนัขที่ฉลาดที่สุดในโลก

สุนัขถือได้เป็นสัตว์ที่แสนรู้อันดับต้นๆ ในบรรดาสัตว์ประเภทต่างๆ และในวันนี้พี่ปัดมี 10 อันดับสายพันธุ์สุนัขที่ฉลาดที่สุดในโลกมาฝากจ๊ะ โดยวัดจากการที่สุนัขสามารถเรียนรู้และเข้าใจคำสั่งใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร๋ว
อันดับ 1 : Border Collie
ลักษณะนิสัยขี้เล่น ร่าเริง เป็นมิตร
มีความสามารถในการเรียนรู้สูง ประสาทไวต่อสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งเร้าต่างๆ
เช่น เสียง สิ่งเคลื่อนไหว และกลิ่น
อันดับ 2 : Poodle
เสน่ห์ของสุนัขพันธุ์นี้อยู่ที่ ฉลาด รู้ภาษา ร่าเริง ช่างประจบ
อันดับ 3 : German Shepherd
ลักษณะนิสัยกระตือรือร้น ตื่นตัว กล้าหาญ
ร่าเริง เชื่อฟัง กระหายที่จะเรียนรู้และฉลาดมาก
มักถูกใช้ต้อนแกะ เฝ้ายาม กิจกรรมต่างๆ ของตำรวจ
นำทางคนตาบอด แกะรอยค้นหา
อันดับ 4 : Golden Retriever
ลักษณะนิสัยเป็นมิตร สุภาพ ใจดี ซื่อสัตย์ มีความสามารถพิเศษในการจดจำ
ง่ายต่อการฝึกฝน กระฉับกระเฉง
อันดับ 5 : Doberman Pinscher
ลักษณะนิสัยฉลาด กล้าหาญ ตื่นตัว เชื่อฟัง คอยระวังภัยตลอดเวลา
จัดว่าเป็นสุนัขอารักขาที่ดีที่สุดในโลก
อันดับ 6 : Shetland Sheepdog
ลักษณะนิสัยฉลาด มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์
รักเด็ก และมีสัญชาตญาณที่ดีด้วย
อันดับ 7 : Labrador Retriever
ลักษณะนิสัยฉลาด ใจดี เป็นมิตร สุภาพ ไม่ก้าวร้าว
ตอบสนองรวดเร็ว ปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ได้ง่าย
สามารถฝึกความสามารถพิเศษอื่นๆ ได้มากมาย
เช่น ค้นหาผู้ประสบภัย , ค้นหายาเสพติด ฯลฯ
อันดับ 8 : Papillon
ลักษณะนิสับฉลาด แข็งแรง กล้าหาญ รักเจ้าของ ขี้เล่น
กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งรอบข้าง เป็นมิตร
และพร้อมที่จะปกป้องเจ้าของจากผู้บุกรุก
อันดับ 9 : Rottweiler
ลัษณะนิสัยเป็นสายพันธุ์ที่มีสัญชาตญาณที่ต้องเอาตัวรอด
แต่ในปัจจุบันได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ให้เป็นสุนัขที่มีความฉลาด
ชอบการสัมผัสอย่างทะนุถนอม และสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
หากได้รับการฝึกฝนที่ดีจะเป็นสุนัขที่เชื่อฟังคำสั่ง
ใจเย็น เป็นทั้งเพื่อนและยามเฝ้าบ้านที่ดี
อันดับ 10 : Australian Cattle Dog
เป็นสุนัขสายพันธุ์ใหม่ ที่มีต้นกำเนิดมาจากการทดลองผสมข้ามพันธุ์
มีความอดทนเหมือนสุนัขพื้นเมือง มีความสามารถทางปศุสัตว์
ซื่อสัตย์ และฉลาด
ที่มา:

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

10 วิธีดูแลสุขภาพโกลเด้น รีทรีฟเวอร์

10 วิธีดูแลสุขภาพโกลเด้น รีทรีฟเวอร์



โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ จัดเป็นสุนัขน่ารักและน่าเลี้ยงมากที่สุดในยุคนี้ เพราะโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็นหมาใจดี พูดรู้เรื่องเป็นมิตรกับทุกคน ระดับกัลยาณมิตร 4 ขาทีเดียว ต้องการการบำรุงรักษาในระดับปานกลางไม่มากมายเท่าไหร่ แต่เราก็ควร “รู้ดีเกี่ยวกับโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ บ้างจะได้เลี้ยงดู” สุนัขตัวใหญ่ขนสีทองนี้ให้อยู่เราอย่างสุขภาพดี ซึ่งมีวิธีทำได้ง่ายๆ ดังนี้

  1. คุมน้ำหนักตัวอย่าให้อ้วน โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ นั้น เป็นสุนัขที่มีแนวโน้มที่จะอ้วนง่ายอยู่แล้ว เพราะเป็นสุนัขกินง่ายและกินเก่งด้วย ดังนั้นเราจึงใส่ใจควบคุมน้ำหนักตัวของโกลเด้นฯ ของเราไม่อ้วน ซึ่งหากอ้วนมากก็จะมีปัญหาต่อสุขภาพ เช่น โรคข้อสะโพกเสื่อม ข้ออักเสบ หรือโรคหัวใจได้
  2. รู้ทันโรคประจำพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ โรคประจำพันธุ์ของโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ในวัยต่างๆ ที่เราต้องคอยเฝ้าระวัง มีดังนี้
  • ลูกสุนัข (วัยแรกเกิด – 1 ปี)โรคกระดูกและข้อ โรคเส้นเลือดใหญ่ใกล้หัวใจตีบ (Subaortic Stenosis)
  • วัยสุนัขโต (1-6 ปี)โรคไทรรอยด์ต่ำ โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคผิวหนังอักเสบจากการแพ้ โรคหูส่วนนอกอักเสบ (โรคหูน้ำหนวก)โรคต้อกระจก
  • สุนัขสูงอายุ (1 ปีขึ้นไป)โรคมะเร็งผิวหนัง ชนิด HEMANGIOSARCOMA
3. แปรงขนเป็นประจำ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่ผลัดขนตลอดปี และจะผลัดขนมากเป็นพิเศษอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องแปรงขนโกลเด้นฯ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อลดปัญหาการหลุดร่วงของเส้นขน

4. อาบน้ำตามสมควร ถึงโกลเด้นฯ จะขนยาวแต่ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อยๆ เหมือนสุนัขพันธุ์อื่น แต่ถ้าอาบน้ำแล้วก็จำเป็นต้องใส่ใจให้มาก โดยเฉพาะการทำให้ขนแห้ง เพราะโกลเด้นมีขน 2 ชั้น ซึ่งขนชั้นในจะเป็นตัวอุ้มน้ำไว้ ถ้าหากไม่ทำให้ขนแห้งดี ความอับชื้นที่สะสมอยู่ก็จะทำให้เกิดโรคผิวหนังได้ และพึงสังวรไว้ด้วยว่าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ มีผิวหนังที่แพ้ง่ายดังนั้นควรเลือกใช้แชมพูอ่อนโยนต่อผิวอ่อนเยาว์ด้วย

5. ตัดเล็บเดือนละหน เราควรตัดเล็บโกลเด้น รีทีฟเวอร์อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อสุขภาพที่ดีและนอกจากตัดเล็บแล้ว ก็ควรตัดขนตามซอกนิ้วที่ยาวเกินออกมาชอนไชอุ้งเท้าด้วย ไม่งั้นก็จะทำให้สุนัขเดินไม่ถนัด

6. รักจริงต้องฝึก โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่มีนิสัยร่าเริงและชอบเล่น ดังนั้นดูเหมือนโกลเด้นฯ จะซุกซนมากเป็นพิเศษ ดังนั้นเราจึงควรฝึกโกลเด้นฯ ให้เชื่อฟังคำสั่ง เช่น ยืน นั่ง หมอบ คอย ฯลฯ เพื่อโกลเด้นฯ รีทีฟเวอร์ของเราจะได้มีวินัยบ้าง และที่สำคัญโกลเด้นฯ นั้นเป็นสุนัขชอบเรียนรู้ หรือชอบฝึกนั่นเอง ดังนั้นเราจึงสามารถสอนคำสั่งใหม่ๆ ให้โกลเด้นฯ ได้มากมาย

7. พาวิ่งเล่นทุกวัน โกลเด้นฯ รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่ติดเจ้าของมาก และชอบชวนเจ้าของเล่นโน้นเล่นนี่อยู่เสมอ เช่น จะคาบลูกบอลออกมาวางต่อหน้าเจ้าของ เพื่อให้เจ้าของปาออกไปแล้วจะไปคาบกลับมา หรือชอบเล่นแย่งบอลกับเจ้าของ เรียกว่า “เห็นเจ้าของเป็นต้องชวนเล่น” นั่นเอง
ดังนั้น เราจึงต้องแบ่งเวลาวันละ 5-10 นาที เล่นกับเจ้าโกลเด้นฯ ของเราทุกวันเพื่อเป็นการออกกำลังกายและคลายเครียดไปพร้อมๆ กัน

8. โกลเด้นฯ ควรเลี้ยงในบ้าน เนื่องจากโกลเด้นฯ รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่ติดคนสุดๆ ดังนั้นถ้าถูกแยกไปอยู่ข้างนอกบ้านตัวเดียว โกลเด้นฯ ก็จะรู้สึกไม่มีความสุขซึ่งทางแก้ก็อาจจะต้องหาเพื่อนหมาให้อีก 1 ตัว

9. ระวังต่อมก้นอักเสบ โกลเด้นฯ รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขอีกพันธุ์ที่มีปัญหาเรื่องต่อมก้นอักเสบ (ANALSACCULITIS) เป็นประจำ โดยจะแสดงอาการไถก้นให้เห็น ดังนั้น เราจึงควรบีบต่อมก้นให้ โกลเด้นฯ ของเราอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง หรือไม่ก็ให้รีบนำโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ของเรา ไปพบสัตวแพทย์ทันทีที่แสดงอาการไถก้นออกมา

10. โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ จะอยู่กับเราอย่างน้อย 10 ปี ปัจจุบันโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ มีอายุเฉลี่ย 10-14 ปี ดังนั้นหากเราคิดที่จะเลี้ยงโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ สักตัวแล้ว นั่นก็หมายถึงความสุขของการเลี้ยงสุนัขดีอย่างนี้จะยืนยาวไปอย่างน้อย 10 ปีทีเดียว

ที่มา:
http://www.facebook.com/note.php?note_id=184566098271503

10 เหตุผลที่คุณไม่ควรคิดจะเลี้ยงโกลเด้น

10 เหตุผลที่คุณไม่ควรคิดจะเลี้ยงโกลเด้น





10 อันดับเหตุผลที่คุณไม่ควรคิดจะเลี้ยงหมาพันธุ์โกลเด้น รีทริฟเวอร์


1) คุณกำลังมองหาหมาที่เลี้ยงไว้นอกบ้าน เจ้าโกลเดนนั้นเป็นหมาที่รักและชอบอยู่ใกล้ชิดกับคนเป็นชีวิตจิตใจมากกว่าหมาพันธุ์อื่นๆ หากปล่อยให้อยู่ตัวเดียวโดยไม่ได้เล่นกับคุณเจ้าโกลเดนนี่จะหยอยเหงาไร้ความสุขเป็นที่สุด และหากคุณลืมไม่มีเวลาให้โดยกักบริเวณให้อยู่หลังบ้านตลอดเวลาก็จะทำให้มีนิสัยเปลี่ยนแปลงได้ จากหมาที่น่ารัก ร่าเริง ขี้เล่น รักสนุก กลายเป็นหมาเซื่องซึมหรืออาจก้าวร้าวทำลายข้าวของ ชอบเห่าโดยไร้เหตุผลได้ โกลเดนนั้นเหมือนเด็กหากให้ความรักความอบอุ่นและเอาใจใส่ดูแลอย่างดีและเหมาะสม ก็จะเติบโตเป็นหมาที่มีสุขภาพดีทั้งกายและใจมีความสุขทั้งตัวมันเองและเจ้าของ ยิ่งกว่านั้นก็จะมีนิสัยรักเด็กและเข้ากับสัตว์อื่นๆได้ดี ถ้าคุณไม่ได้ต้องการหมาสำหรับครอบครัว โกลเดนก็ไม่ใช่หมาสำหรับคุณ

2) คุณไม่ชอบหมาที่มีขนยาว โกลเดนนั้นผลัดขนซึ่งและจะมีขนหลุดร่วงมากเกือบตลอดทั้งปี ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีขนติดเสื้อผ้าคุณอยู่ตลอดเวลา ขนของโกลเดนต้องการการบำรุงรักษาโดยการอาบน้ำและแปรงขนอย่างน้อยก็อาทิตย์ละครั้ง และขณะอาบน้ำและแปรงขนจะเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดของเจ้าโกลเดนและตัวคุณเอง หากคุณไม่มีเวลาและไม่ชอบอาบน้ำให้หมา โกลเดนก็ไม่เหมาะสำหรับคุณ

3) คุณเป็นคนเจ้าระเบียบและไม่มีอารมณ์ขบขัน โกลเดนจะซนและฝากรอยจมูกบนหน้าต่างทุกบานของบ้าน ทิ้งรอยขาเปื้อนโคลนไว้บนพื้นบ้าน ฝากความรักเป็นรอยเท้าและคราบน้ำลายบนเสื้อผ้าแสนสวยของคุณ อย่าลืมว่าโกลเดน รีทริฟเวอร์ ในภาษาลาตินแปลว่าเอาใส่ในปากและกระโดดโลดเต้นไปมา และนำของกลับมาเป็นสัญชาตญาณ บางครั้งก็จะปีนหรือคาบของของคุณจากในบ้านไปทิ้งไว้นอกบ้าน คงต้องทำใจมีความสุขกับความซนของเจ้าโกลเดน

4) คุณชอบที่จะอยู่เฉยๆนอนดู TV และหวังว่าเจ้าหมาจะทำเหมือนคุณ เจ้าโกลเดนเป็นหมาสปอร์ตติ้ง ด๊อก เป็นหมาเพื่อเกมส์กีฬาล่าสัตว์ ดังนั้นจึงต้องการการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คุณจึงต้องเป็นคนไม่มีนิสัยขี้รำคาญ ควรต้องมีความกระตือรือล้น กระฉับกระเฉง ชอบออกกำลังกายหรืออาจชอบว่ายน้ำด้วยเพราะโกลเดนชอบการเล่นน้ำเป็นชีวิตจิตใจ

5) คุณต้องเดินทางบ่อยหรือไม่มีเวลาให้ หากคุณจำเป็นต้องเดินทาง ไม่สามารถนำหมาไปได้และต้องฝากเจ้าโกลเดนไว้กับคนที่ไม่รู้จักคุ้นเคยให้ดูแลแทนบ่อยๆ ก็ควรคิดก่อนว่าคุณสมควรจะเลี้ยงโกลเดนตั้วแต่แรกหรือไม่ เพราะโกลเดนสามารถจำเจ้าของได้เป็นอย่างดี จะเฝ้ารออย่างจดจ่อกับการกลับมาของคุณและคุณเองก็จะรู้สึกผิดกับการที่ต้องทิ้งไว้ให้คนอื่นรับผิดชอบแทน

6) คุณไม่ต้องการพบปะกับคนอื่นๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะจูงเจ้าโกลเดนทีเป็นมิตรและมีขนที่สวยงามไปไหนมาไหนโดยไม่มีคนที่ไม่รู้จักเข้ามาหยุดทักทายกับหมาตัวโปรดของคุณแล้วถามคำถามพูดคุยกับคุณ บางทีหมาเฝ้าบ้านพันธุ์อื่นๆอาจเหมาะสมกว่า

7) คุณต้องการหมาเฝ้าบ้าน โกลเดนจะเป็นมิตรกับทุกคนแม้แต่คนแปลกหน้า อาจจะเห่าเตือน แต่ก็จะเชื้อเชิญให้เข้ามาในบ้านแม้แต่กับคนที่ไม่รู้จักคุ้นเคย

8) คุณต้องการเพาะพันธุ์หมาขาย มีโกลเดนจำนวนมากมายที่ถูกเพาะขึ้นมาขายเพื่อที่มุ่งหวังเพียงเพื่อหาเงินจากความเข้าใจผิดว่าสามารถหาเงินได้ง่ายๆ ในความเป็นจริงไม่มีผู้เพาะสมัครเล่นคนใดเลยที่มีกำไรจากการเพาะโกลเดนขาย เนื่องจากค่าเลี้ยงดูอย่างถูกต้องของหมาใหญ่ที่สูง นอกจากนั้นยังมีค่าวัคซีนและค่ารักษาพยาบาลลูกหมาที่เกิดใหม่อีก จึงทำให้โกลเดนที่ถูกปล่อยปะละเลยไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างที่ถูกที่ควรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

9) คุณไม่มีสถานที่เพียงพอ โกลเดนเป็นหมาขนาดค่อนข้างใหญ่ จะสูงประมาณ 21-24 นิ้ว หนักประมาณ 29-34 กก จึงควรเลี้ยงไว้ในบ้านที่มีบริเวณบ้านหรือสนามหญ้า ไม่เหมาะที่จะเลี้ยงในอพาร์ทเมนต์หรือคอนโดมิเนียมหากจำเป็นต้องเลี้ยงในที่นี้ ควรต้องมีสถานที่ข้างนอกที่จะพาไปเดินเล่นทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายทุกวัน

10) คุณไม่สามารถดูแลได้ตลอดอายุ 10-15 ปีของโกลเดน คุณมีข้อผูกมัดกับโกลเดนของคุณไปตลอดช่วงอายุไขของเค้า ต้องมีการให้ทั้งเวลาและการเอาใจใส่ดูแลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ มีค่าเลี้ยงดู ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาลและค่าฉีดวัคซีน อีกทั้งต้องเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ วันนึงก็ต้องจากเราไปตามธรรมชาติที่ไม่มีอะไรอยู่ยั่งยืนได้ตลอดไป
 

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

โกลเดนกับการดูแลในช่วงหน้าร้อน

โกลเดนกับการดูแลในช่วงหน้าร้อน



ร้อนจริง ร้อนจัง อากาศร้อนช่วงเมษานี้กลางวันร้อนมากถึง 40-41 องศาแบบนี้ ต้องดูแลโกลเดนกันมากหน่อยเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นหมาขนยาวที่มีโอกาสเกิดอาการฮีทสโตรก Heatstroke ที่อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ง่ายกว่าหมาพันธุ์อื่นๆ
ร่างกายของน้องหมาจะระบายความร้อนทางปากและลิ้นและที่อุ้งเท้าโดยไม่มีต่อมเหงื่อตามรูขุมขนตามผิวหนังเหมือนคนเรา ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจหากน้องหมาทำลิ้นห้อยอยู่ตลอดเวลาและบางครั้งก็เอาเท้าจุ่มน้ำก็ปล่อยให้ทำไปเพราะเป็นการระบายความร้อนโดยธรรมชาติ อาการฮีทสโตรกเกิดจากร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้กับอากาศร้อนได้ทัน การวิ่งออกกำลังกายมากๆในช่วงอากาศร้อน หรืออาการขาดน้ำที่เพียงพอ หรืออยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนสูงกว่าอุณหภูมิของร่างกายเป็นเวลานานๆ ร่างกายไม่สามารถปรับระบบระบายความร้อนได้ทัน โดยปกติอุณหภูมิของน้องหมาจะอยู่ที่ 38-39 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิร่างกายสูงถึง 40 องศาที่เกิดจากอากาศไม่ใช่เกิดจากอาการไข้ติดเชื้อก็จะมีอาการหายใจแรง หอบ น้ำลายเยอะมาก เหงือกแดงมาก หัวใจเต้นเร็ว หายใจลำบาก อาเจียนออกเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด มีจุดแดงตามร่างกาย กล้ามเนื้อกระตุก อุณหภูมิร่างกายสูง จนเกิดอาการชัก หยุดหายใจและตายได้ ซึ่งจะมีผลทำให้อวัยวะต่างๆได้รับผลกระทบดังนี้
  • เซลล์ระบบประสาทถูกทำลาย มีเลือดออกที่สมอง
  • ระบบหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
  • เยื่อบุลำใส้ขาดเลือดและเป็นแผล อาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้
  • ตับและท่อน้ำดี เซลล์ตับตาย
  • ระบบขับถ่ายผิดปกติ ทำให้เกิดโรคร้ายแรงเฉียบพลันได้
  • เลือดเข้มข้นเกินไป เกล็ดเลือดต่ำ ระบบเลือด น้ำเหลือง และภูมิคุ้มกัน
  • บกพร่อง มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
  • เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อที่ขาดเลือดและน้ำหล่อเลี้ยงเพียงพอ
เมื่อมีอาการเช่นนี้ต้องพาไปหาแพทย์โดยเร็วที่สุด การปฐมพยาบาลก่อนนำพบแพทย์ทำได้โดยการลดอุณหภูมิร่างกายลงโดยการนำน้ำมาชโลมให้ทั่วทั้งร่างกายหรือทำให้น้องหมาชุ่มน้ำ ใช้สารระเหยทำให้เกิดความเย็นเช่นแอลกอฮอล์เช็ดบริเวณอุ้งเท้า ใต้รักแร้ และบริเวณขาหนีบ เปิดพัดลมช่วยถ่ายเทความร้อน

การป้องกันคือสิ่งที่ดีที่สุดเราสามารถทำได้โดย
  • ต้องมีน้ำให้กินตลอดเวลาไม่ให้ขาด
  • ไม่พาออกกำลังกายในช่วงบ่ายหรือเวลาที่อากาศร้อนจัด
  • หาที่ร่มหรือที่หลบแดดมีอากาศถ่ายเทให้อยู่ในช่วงกลางวัน
  • เมื่อไปไหนกับน้องหมาไม่ให้เก็บไว้ในรถโดยเด็ดขาด หรือถ้าจำเป็นต้องจอดในที่ร่มมีอากาศถ่ายเทได้ เปิดกระจกออกให้มีอากาศระบายและมีน้ำดื่มไว้ให้ด้วย มีน้องหมาจำนวนมากที่ตายโดยที่เจ้าของคิดว่าไปไม่นานและเป็นสาเหตุที่ใหญ่สุดที่เจอบ่อยที่สุด
  • การให้อาหารในตอนเย็นต้องให้หลังจากแดดร่มแล้วหรือยืดเวลาออกไปให้หลังพระอาทิตย์ตก เนื่องจากน้องหมาจะไม่กินอาหารหากอากาศร้อน
  • อาบน้ำให้หรือราดน้ำให้ทั่วและเช็ดตัวให้หมาดๆ ปล่อยให้แห้งเองโดยไม่ต้องไดร์
  • อาจใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำหมาดๆปูให้นอนในช่วงกลางวัน แต่ต้องเอาออกในช่วงกลางคืนป้องกันปอดบวม
  • ใช้พัดลมเป่าหรือให้อยู่ในห้องแอร์เลย
การที่น้องหมาจะกลับมาหายดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าอวัยวะถูกทำลายลงไปมากน้อยเพียงไร ดังนั้นเราควรป้องกันไว้ก่อนที่จะเกิดอาการเช่นนี้ เพราะไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่า “กันไว้ดีกว่าแก้”
ฮเปอร์เทอเมีย Hyperthermia หรือ ฮีทสโตรก Heat Stroke คืออาการที่อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เนื่องจากร่างกายได้รับความร้อนจากภายนอกมากขึ้น หรือเนื่องจากร่างกายเกิดความร้อนภายในมากขึ้น หรือเนื่องจากการระบายความร้อนออกจากร่างกายน้อยลง
สาเหตุ - สาเหตุสำคัญก็คือการที่อากาศภายนอกร้อนจัดเป็นเวลานาน
- เกิดจากให้สัตว์ออกกำลังกายมากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อขณะมีความชื้นในอากาศสูง
- สัตว์อ้วนเกินไป
- สัตว์มีขนดก หนา และจำเป็นต้องอยู่ในที่ที่การระบายอากาศไม่ดีพอ เช่น การขนส่งสัตว์โดยทางเรือ
- เนื่องจาก Dehydration ซึ่งทำให้การระบายอากาศโดยการระเหยของน้ำในเนื้อเยื่อต่างๆ ลดลง
- การให้ยาสงบประสาท กับสัตว์ในขณะที่มีอากาศร้อน จะทำให้เกิด ไฮเปอร์เทอร์เมียได้

Metabolic rate จะสูงขึ้นประมาณ 40-50% Glycogen ที่เก็บสะสมไว้ในตับจะถูกนำมาใช้ไปอย่างรวดเร็ว และพลังงานพิเศษของร่างกายจะได้มาจากการเพิ่ม Protein metabolism สูงขึ้น เนื่องจาก Hyperthermia ทำให้สัตว์ปากแห้ง และการทำงานของระบบการหายใจผิดไป จึงทำให้เกิดการเบื่ออาหาร ซึ่งมีผลทำให้น้ำหนักตัวลดลง และกล้ามเนื้อขาดพลัง เกิดภาวะ hypoglycemia และ non-protein nitrogen ในเลือดสูง
สัตว์จะกระหายน้ำเนื่องจากปากแห้ง อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้นเนื่องจากอุณหภูมิของเลือดสูงขึ้น และเนื่องจากความดันเลือดตกอันเป็นผลมาจากการขยายตัวของเส้นเลือดส่วนปลาย อัตราการหายใจสูงขึ้นเนื่องจากการที่อุณหภูมิสูงขึ้นจะไปมีผลต่อ respiratory centre ปัสสาวะจะลดน้อยลงเนื่องจากจำนวนเลือดที่ผ่านไตน้อยลง อันเป็นผลสือเนื่องมาจากการขยายตัวของเส้นเลือดส่วนปลาย

เมื่อเกิด Hyperthermia ถึงขั้นอันตรายสูงสุด จะมีผลคือระบบประสาทจะถึงขั้นอันตรายสูงสุด จะมีผลคือระบบประสาทจะถูกกดการทำหน้าที่ตามปกติของมัน และระบบการหายใจก็จะถูกกดเช่นเดียวกันอันเป็นผลทำให้สัตว์ตาย เนื่องจากกการล้มเหลวของระบบการหายใจ ระบบการไหลเวียนของเลือดก็จะล้มเหลวเช่นกัน เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนกำลำง ถ้าภาวะ Hyperthermia ไม่สูง และนานเกินไปก็จะมีผลกระทบกระเทือนต่อ metabolism ภายในร่างกายเท่านั้น และมักจะเกิด degenerative changes ของเนื้อเยื่อต่างๆ ด้วย

อาการ อาการที่สัตว์แสดงให้เห็นในระยะแรกๆ ก็คืออุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นกว่าปกติ อัตราการเต้นของหัวใจ และการหายใจจะเพิ่มขึ้น ชีพจรอ่อนลง ในระยะแรกจะมีเหงื่อออกมาก แต่ระยะต่อไปจะไม่มีเหงื่อออกมาเลย น้ำลายไหล กระวนกระวายต่อมาก็จะเริ่มซึม เดินโซเซ ในระยะแรกสัตว์จะกระหายน้ำจัด และจะพยายามอยู่ในที่เย็น เช่นนอนแช่น้ำ ต่อมาเมื่ออุณหภูมิของร่างกายสูงถึง 106 F. จะถึงขั้นหายใจหอบ ต่อจากนั้นจะหายใจตื้นไม่เป็นจังหวะ ชีพจรเร็วมาก และอ่อน สุดท้ายถึงขั้น collapse ชัก และโคม่า ส่วนมากสัตว์ทุกชนิดตายเมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงถึง 107-109 F. ส่วนสัตว์ท้องอาจจะแท้งได้ถ้าระยะเวลาที่เกิด Hyperthermia นาน


การวินิจฉัยโรค ต้องแยกให้ออกระหว่าง Hyperthermia กับ อาการไข้ และโลหิตเป็นพิษ (Septicemia) สำหรับโลหิตเป็นพิษจะพบมีจุดเลือดออกที่ muscous membrane และบางครั้งพบที่ผิวหนังด้วย และในการเพาะเชื้ออาจจะพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคนอกจากนี้การตรวจ และสังเกตสิ่งแวดล้อมมีส่วนช่วยอย่างมากในการหาสาเหตุของ Hyperthermia

การรักษา ใช้วิธีประคบเย็น(cold applications) จะได้ผลดีนอกจากนี้การให้ยาพวกซาลิซีเอท (Salicyate) เช่น แอสไพริน ก็ช่วยได้มากในกรณีเช่นนี้ โดยให้กินสำหรับม้า และโคให้ในขนาด 8-60 กรัม สุกร 1-3 กรัม สุนัข 0.3-1 กรัม นอกจากนี้ควรให้ยาสยบประสาท (Tranqulizing drugs) เช่น Largactil (chlorpromazine hydrochloride) เพื่อระงับอาการกระวนกระวาย นอกจากนั้นควรให้ยาช่วยประกอบการรักษาด้วย เช่นการฉีดกลูโคส และโปรตีน และให้สัตว์ป่วยอยู่ในที่ร่ม มีการระบายอากาศดี มีน้ำให้กินเพียงพอ




CPR AND RESCUE BREATHING
Airways
The first priority is to establish an unobstructed airway. Open airways by extending head and neck. Check and remove any foreign materials from the mouth and pull the tongue forward.
Breathing
Look and listen for signs of breathing. If none, place your hands around the muzzle to prevent air from escaping and breathe forcefully into the nostrils. The chest should expand and fall if you are getting air into the lungs. Do not be too forceful with small animals. Rescue breathing should be given at a rate of 8 to 10 breaths per minute (or one breath every 6 seconds).


Cardiopulmonary resuscitation (CPR)
If there is no pulse, place the dog on a hard surface with its right side down. Use the heel of your hand to compress the chest on the lower side immediately behind the elbow. The compression should be firm and not a sudden blow. It helps to have 2 people; the first gives the cardiac massage, the second does the breathing. CPR should be given at a rate of 80 to 120 compressions per minute with two ventilations being given every 15 compressions of the chest.



ที่มา:


การฝึกสุนัขเบื้องต้น

การฝึกสุนัขเบื้องต้น (ตอนที่ 1) การฝึกให้ชินกับโซ่และสายจูง, การฝึกสุนัขให้เดินชิด, การฝึกสุนัขให้นั่ง, การฝึกสุนัขให้หมอบ




การฝึกสุนัขให้ชินกับโซ่และสายจูง

โซ่คอที่แนะนำคือสายโซ่คอสแตนเลสไม่ควรใช้โซ่คอหนังเพราะไม่สามารถยืดหยุ่นได้ สายจูงควรเป็นสายหนังเพราะจะไม่เจ็บมือเวลาโดนสุนัขดึง




การใช้สายโซ่จะต้องใส่ให้ถูก โดยวงกลมจะต้องอยู่ด้านบนเมื่อดึงจะคลายออกได้เอง แต่ถ้าใส่วงกลมอยู่ด้านล่างจะไม่สามารถคลายออกทำให้สุนัขอึดอัดหรือเกิดอันตรายได้

ในครั้งแรกที่สวมปลอกคอหรือใส่สายจูงให้แก่สุนัข เรามักจะได้เห็นปฏิกิริยาที่ขัดขืนและดิ้นรนต่อสู้อยู่สักพักหนึ่ง แต่นี้คือธรรมชาติของสุนัข ดังนั้นผู้ฝึกต้องมีความอดทน และเมื่อสุนัขของเราเริ่มคุ้นเคยกับสายจูงแล้ว จึงค่อยเริ่มบทเรียนได้โดยให้ผู้ฝึกถือสายจูงด้วยมือขวาส่วนมือซ้ายจับประคองไว้โดยให้สุนัขอยู่ด้านซ้ายมือ จะเห็นว่าสายจูงจะพาดผ่านหน้าขาผู้ฝึกและสามารถที่จะใช้มือซ้ายกระตุกที่สายจูงได้เมื่อต้องการให้สุนัขเข้ามาใกล้ผู้ฝึก แต่จงอย่าดึงสายจูง ควรกระตุกเบา ๆ สำหรับสุนัขบางตัวที่อาจต่อต้านสายจูง โดยบ้างก็อยู่กับที่ บ้างก็ขัดขืน ให้ผ่อยสายจูงและพูดปลอบใจจนสุนัขนั่งลงแล้วจึงค่อย ๆ จูงเดินระยะ 2-3 ก้าว และการกระตุกสายฝึกสั้น ๆ ก็อาจจะช่วยให้สุนัขเรียนรู้ในการที่จะเดินไปกับผู้ฝึกได้ ควรกล่าวชมเชยสุนัขเมื่อไม่ขัดขืน หลังจากนั้นให้เพิ่มระยะทางการจูงไปเรื่อย ๆ การฝึกเข้าสายจูงรวมทั้งการจูงเดินอาจกินเวลา 3-4 วัน เมื่อสุนัขชินกับสายจูงแล้วก็สามารถทำการฝึกเบื้องต้นในเรื่องอื่นได้ต่อไป







การฝึกสุนัขให้เดินชิด

ให้นำสุนัขเข้ามาอยู่ทางซ้ายของผู้ฝึก รวบสายจูงไว้ในมือขวา สายฝึกควรจะต้องหย่อนเสมอ สุนัขควรอยู่ในท่ายืน ถ้าหากสุนัขยังนั่งอยู่ผู้ฝึกจะต้องคอยกระตุกสายจูงเบา ๆ และดึงให้ตึงสุนัขจะยืนขึ้นเอง ตบที่ขาข้างซ้ายของตัวเองแล้วพูดคำว่า"ชิด"เพื่อสอนให้สุนัขรู้จักคำว่าชิด ในระยะแรกสุนัขอาจจะไม่เข้ามายืนเคียงข้างซ้ายของผู้ฝึกก็อย่าเพิ่งไปดุ ผู้ฝึกอาจต้องพลิกแพลงวิธีการบ้างโดยการปรับตัวเองให้ยืนในตำแหน่งที่ให้สุนัขอยู่เคียงข้างด้านซ้ายของผู้ฝึก จนกว่าสุนัขจะเข้าใจคำสั่งนี้ เมื่อสุนัขเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ให้ผู้ฝึกเริ่มก้าวเดินด้วยเท้าซ้ายก่อน อาจต้องดึงสายฝึกเล็กน้อยเพื่อให้สุนัขเริ่มทำตาม พยายามเดินช้า ๆ อย่ากระชากลากถู ในขณะเดินควรให้บ่าของสุนัขอยู่ในเนวเดียวกับขาซ้ายของผู้ฝึก ถ้าสุนับไม่ทำตามหรือเดินล้าหลังให้กระตุกสายฝึกเบา ๆ จนกว่าจะเดินทันกัน และอย่าลืมชมว่า "ดีมาก" เสมอ แต่หากสุนัขเดินนำหน้าอย่าเร่งฝีเท้าหรือวิ่งตามเพราะจะยิ่งเตลิดออกไป แต่ควรดึงสายฝึกให้ช้าลงและพยายามเดินคู่กับสุนัข ถ้าขณะใดที่สุนัขเผลอตัวไม่สนใน อาจกระตุกสายจูง คอยเตือนให้สุนัขสนใจ ในการฝึกช่วงต้น ๆ ควรให้สุนัขเดินในทางตรง จนกว่าจะเดินตามสายจูงได้ดีขึ้นจนน่าพอใจแล้ว จึงเริ่มต้นฝึกเดินเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา กลับหลังหัน เดินวนเป็นรูปเลข 8 แล้วต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นจังหวะการเดินให้ช้าบ้าง เร็วบ้าง จนถึงวิ่งเหยาะสลับกันไป การฝึกในระยะแรกควรใช้เวลาประมารณ 5 นาที ต่อไปก็ขยายเวลาออกไปถึง 10-15 นาที หรือครึ่งชั่วโมง ประมาณ 6-7 สัปดาห์สุนัขก็จะทำได้ดี ซึ่งต่อไปสุนัขก็จะสามารถเดินอยู่ในตำแหน่งชิดได้โดยไม่ต้องใช้สายจูง







การฝึกสุนัขให้นั่ง

หลังจากที่ได้ทำการฝึกสุนัขให้เดินได้แล้ว ต่อมาอีก 2-3 วันให้ทำการฝึกให้นั่ง การฝึกนั่งนี้ใช้ร่วมกับการฝึกเดิน เพราะท่านั่งของสุนัขจะต้องปฏิบัติต่อนื่องกับการเดิน คือการฝึกนั่งนี้จะสอนให้สุนัขรู้จักนั่งทันทีโดยอัตโนมัติเมื่อหยุดเดิน วิธีฝึกให้เริ่มต้นจากการพาสุนัขเดินอยู่ในตำแหน่งชิด มือขวาถือสายจูงและสุนัขเดินตามข้างผู้ฝึกอย่างเป็นระเบียบทางด้านซ้าย จากนั้นจึงสั่งให้สุนัขหยุดและออกคำสั่ง "นั่ง" พร้อมกันนี้ให้ใช้มือขวาดึงสายฝึกเล็กน้อย ใช้มือซ้ายกดลงที่สะโพกสุนัขเล็กน้อย การกดสะโพกของสุนัขให้ผู้ฝึกย่อตัวลงโดยที่เข่าจะต้องแนบไปกับลำตัวของสุนัข เมื่อสุนัขนั่งลงเรียบร้อยแล้วให้ผ่อนมือขวาที่ดึงสายจูงพร้อมกับชมเชยสุนัข และใช้มือตบที่ไหล่สุนัขเบา ๆ ถ้าสุนัขขัดขืนหรือทำท่าว่าจะลุกจากตำแหน่งให้สั่งว่า "ไม่" แล้วสั่ง "นั่ง" ซ้ำอีก ข้อสังเกตุในการฝึกให้สุนัขนั่งคือผู้ฝึกจะต้องไม่สั่งให้สุนัขนั่งในจุดเดิม ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดของสุนัข







การฝึกสุนัขให้หมอบ

การฝึกให้สุนัขหมอบนี้จะทำต่อเนื่องกันไปจากการฝึกนั่ง แต่อย่างไรก็ตามสุนัขจะหมอบเมื่อเหนื่อยหรือต้องการพัก สุนัขจะไม่ชอบให้ใครสั่งว่า "หมอบ" ถ้าไม่ได้รับการฝึกมาก่อน เพราะการหมอบของสุนัขเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของการยอมรับความพ่ายแพ้ภายในฝูง ซึ่งผลการยอมแพ้นี้จะทำให้ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น สุนัขที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองจะเรียนรู้คำสั่งหมอบนี้ยากมาก ดังนั้นผู้ฝึกต้องระมัดระวังสุนัขโกรธเมื่อมีการใช้กำลังบังคับ โดยเฉพาะในขณะที่ผู้ฝึกก้มตัวลงทำท่าทางหรือบังคับสุนัข ควรใช้มือซ้ายช่วยในการป้องกันสุนัขกัดที่หน้าหรือที่ขา และการฝึกให้สุนัขหมอบควรจะเป็นการฝึกหลังจากที่สุนัขและผู้ฝึกมีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันพอสมควร คำสั่ง "หมอบ" ใช้ร่วมไปกับสัญญาณโบกมือไปข้างล่าง สุนัขจะต้องตอบรับกับเสียงที่สั่งและสัญญาณมือ แล้วจะต้องหมอบโดยฉับพลันไม่ว่าจะอยู่ในท่านั่ง ยืน หรือเดิน วิธีการฝึกสุนัขจากท่านั่งชิดเป็นวิธีที่ดีที่สุด ครั้งแรกจะใช้ท่าทางและคำสั่งไปพร้อมกัน ให้ผู้ฝึกใช้คำสั่ง"หมอบ" พร้อมกับกดสายฝึกด้วยมือซ้ายให้สุนัขหมอบลง มือขวาทำสัญญาณหมอบ ถ้าสุนัขขัดขืนไม่ยอมหมอบให้ใช้มือขวาค่อย ๆ จับที่ใต้เท้าขวาของสุนัข ค่อย ๆ ลากไปข้างหน้าเพื่อให้สุนัขหมอบลงพร้อมกับออกคำสั่งซ้ำ ๆ จนกว่าสุนัขจะปฏิบัติได้ตามต้องการ อย่าใช้วิธีการผลักสุนัขให้นอนลง ให้จัดท่าทางขาหลังให้หมอบในท่าที่สวยงามไม่นอนขาไก่ย่างและเมื่อสุนัขหมอบลงแล้วจึงสั่งให้ "คอย" อยู่กับที่โดยใช้มือซ้ายทำสัญญาณมือโดยแบฝ่ามือเข้าหาหน้าสุนัข หากเห็นว่าสุนัขจะเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่ง ผู้ฝึกจะต้องแก้ไขทันทีโดยคำสั่ง "ไม่" แล้วจึงตามด้วยคำสั่งคอย การแก้ไขเมื่อสุนัขลุกออกจากตำแหน่งอย่าเคลื่อนเท้าของผู้ฝึกเองเพราะอาจทำให้สุนัขสับสน